top of page

โรคมะเร็ง Cancer

โรคมะเร็ง หรือ แคนเซ่อะ Cancer จัดเป็นสาเหตุการตายลำดับต้น ๆ ของประชากรทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทย พบมากเป็นอับดับ 3 รองจากโรคหัวใจและหลอดเลือด และอุบัติเหตุ ในขณะที่ประเทศซีกโลกตะวันตก พบว่ามะเร็งเป็นอันดับ 2 รองจากโรคหัวใจและหลอดเลือด

โรคมะเร็งไม่ใช่โรคติดต่อแต่สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม สามารถเป็นทุกเพศทุกวัยทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชายและหญิง โดยเกิดขึ้นในเด็กได้ประมาณ 4-5 % ของมะเร็งทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่จะพบในผู้ใหญ่ และพบมากในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป

สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง

สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด โดยเชื่อว่ามีปัจจัยหลายอย่างร่วมกันแต่บางชนิดก็สามารถบอกถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้ เช่น มะเร็งปากมดลูกมักเกิดในคนที่มีลูกดก หรือเป็นเริมที่อวัยวะเพศบ่อย หรือไม่รักษาความสะอาดอวัยวะเพศ หรือมะเร็งปอดมักพบในคนที่สูบบุหรี่จัด เป็นต้น โรคมะเร็งเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับเซลล์เนื้อเยื่อเกิดได้กับทุกอวัยวะของร่างกายมนุษย์ ยกเว้น เส้นผมและเล็บ กระบวนการเกิดโรคมะเร็งเกิดจากเซลล์ปกติในร่างกายของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงจนกลายพันธุ์ (Mutation) ซึ่งอาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากแม่สู่ลูกโดยพบร้อยละ 5-15 ของผู้ป่วยมะเร็ง

ส่วนใหญ่มะเร็งเกิดจากการกลายพันธุ์ จากสิ่งแวดล้อมหรือจากสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ยังพบว่าร่างกายยังมียีน ( gene) ชนิดที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมยีนอื่น ๆ ที่กลายพันธุ์ ถ้าหากยีนชนิดนี้ เกิดการสูญเสียหน้าที่ก็จะทำให้เซลล์มีการกลายพันธุ์ได้ง่ายจนกลายเป็นโรคมะเร็งในที่สุด สำหรับในเด็กเล็กปัจจุบัน อาจพบเด็กที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม มักมีโอกาสป่วยเป็นโรคมะเร็งได้สูงกว่าเด็กปกติทั่วไป เช่น เด็กที่เป็นโรคดาวน์-ซินโดรม (down's syndrome) จะมีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวสูงกว่าเด็กปกติถึง 15 เท่า หรือเด็กที่มีพี่น้องท้องเดียวกัน หรือมีคู่แฝดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งชนิดเดียวกันได้สูงกว่าเด็กอื่น เป็นต้น

เซลล์ปกติที่กลายพันธุ์และเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเซลล์มะเร็งนั้น เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของยีน โครโมโซม (gene chromosome) ที่บริเวณนิวเคลียส โดยเกี่ยวข้องกับยีนที่กระตุ้นการแบ่งตัว ยีนยับยั้งการแบ่งตัว และยีนซ่อมแซม ซึ่งหลังจากการกลายพันธุ์แล้ว เซลล์ที่กลายพันธุ์จะมีการเจริญเติบโตและแบ่งตัวแบบทวีคูณ ขยายขนาดกลายเป็นเนื้องอกร้ายแรงกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ทั้งนี้ มีการสร้างปัจจัยกระตุ้นการเจริญเติบโต และมีตัวรับปัจจัยกระตุ้นการเจริญเติบโตที่ผิวเซลล์มะเร็ง เมื่อมีการจับกันก็จะเกิดการส่งสัญญาณเข้าไปภายในเซลล์มะเร็ง กระตุ้นทำให้เกิดการเจริญเติบโตจนกลายเป็นก้อนมะเร็งในที่สุด สามารถบุกรุกและทำลายเนื้อเยื่อใกล้เคียง แพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองและไปตามกระแสเลือด โดยกระจายไปอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย เช่น ปอด ตับ กระดูก และสมอง การทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะเหล่านี้ ทำให้สูญเสียหน้าที่และทำลายชีวิตในที่สุด

 

อาการของโรคมะเร็ง

ในระยะแรกมักไม่ค่อยปรากฎอาการ ต่อมาเป็นมาขึ้นก็มักจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว อาจมีไข้เรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ ท้องอืดเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน ซีด เป็นลม ชัก ปวดศรีษะเรื้อรัง เห็นภาพซ้อน หรือมีอาการเฉพาะของแต่ละโรค ซึ่งเกิดจากโรคมะเร็งไปกดเบียดหรือทำลายอวัยวะที่เป็นหรือลามไปอวัยวะอื่น ๆ รวมทั้งอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ โดยสามารถสังเกตลักษณะหรือสัญญาณอันตรายจาก

          1. เป็นแผลเรื้อรังที่ผิวหนัง รักษาไม่หาย ไม่เจ็บ ไม่ปวด โตขึ้นเร็ว

          2. เป็นไฝ เป็นหูด ปาน เป็นตุ่มก้นผิดปกตก โตขึ้นเรื่อย ๆ

          3. มีอาการไอเรื้อรัง เสียงแหบแห้งอยู่นาน มีก้อนแข็งที่คอ เจ็บบ่อยมาก กลืนอาหารลำบาก

          4. มีเลือดออกผิดปกติ เช่น ออกทางจมูก ทางเต้านม ทางช่องคลอด ตกเลือด ถ่ายเป็นเลือด ไอเป็นเลือด

              อาเจียนเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด อุจจาระมีมูกเป็นเลือด ท้องผูกสลับท้องเสีย

          5. ปวดในช่องเชิงกราน ขัดเบาหรืือปัสสาวะไม่ออก ตกขาวผิดปกติ

          6. มีก้อนคลำได้ เช่น บริิเวณเต้านม ในช่องท้อง ที่คอ รักแร้ ขาหนีบ เป็นต้น

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง

 

          1. ปัจจัยภายใน ได้แก่

             - ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง

             - เชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ จะพบว่าคนญี่ปุ่นมักเป็นมะเร็งที่โพรงหลังจมูกและหลอดอาหารมาก ส่วนคนยุโรปและอเมริกา ฝ่ายชายมักเป็นโรคมะเร็งปอด ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ฝ่ายหญิง มักได้แก่ มะเร็งปอด เต้านม ลำไส้ใหญ่ ส่วนประเทศไทย ฝ่ายชาย ได้แก่ มะเร็งตับ ปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ ฝ่ายหญิง ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก เต้านม ลำไส้ใหญ เป็นต้น

             - เพศ เช่น ผู้ชายพบมะเร็งตับและปอดมาก ส่วนผู้หญิงพบมะเร็งปากมดลูก เต้านม และมะเร็งผิวหนัง

             - วัย เช่น ในเด็กมักพบมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งของไต และมะเร็งตา เป็นต้น

             - กรรมพันธุ์ หรือ กรรมพันธุ์ที่ผิดปกติ

             - ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย

             - การระคายเคืองที่เกิดซ้ำ ๆ ถี่ ๆ เป็นมานาน

          - ภาวะทุพโภชนา (เกิดขึ้นจากการรับประทานอาหารไม่สมดุลกัน โดยอาจมีสารอาหารบางอย่างได้รับไม่เพียงพอ เกิน หรือผิดสัดส่วน ซึ่งมาตรการฉุกเฉินแก้ภาวะดังกล่าว มีทั้งการจัดสารอาหารรองที่ขาดโดยการเสริมอาหาร เช่น เนยถั่ว หรือผ่านผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยตรง)

             - อารมณ์และความเครียด

             - การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ

          2. ปัจจัยภายนอก ได้แก่

             - สารกายภาพต่าง ๆ ได้แก่ การระคายเคืองเรื้อรัง เช่น ฟันปลอมที่ไม่กระชับ เกิดการเสียดสีประจำจนทำให้เกิดแผล กินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มร้อนจัดเป็นประจำ อาจระคายเคืองหลอดอาหารจนเป็นมะเร็งได้

             - รังสีต่าง ๆ เช่น แสงแดด แสงเอ็กซเรย์ รังสีอัลตราไวโอเลต สารกัมมันตภาพรังสี เป็นต้น

            - สารเคมี เช่น สารหนู ควันบุหรี่ น้ำมันดิน (tar) ควันดำ คาร์บอน-มอนอกไซด์จากท่อไอเสีย สารเคมีพวก aromatic hydrocarbon ทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ สารจำพวก nitrosamine  ทำให้เกิดมะเร็งตับ กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ หรือ DDT ยาแมลง เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็น dinitrosamine สาร borax สารฟอกขาว ฟอร์มาลีน สารกันบูด เป็นต้น

             - ฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม จะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศหญิงมะเร็งต่อมลูกหมากจะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศชาย

             - จุลินทรีย์  จากเชื้อแบคทีเรีย เช่น H.pytori ทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร

                               จากเชื้อราที่สร้าง aflatoxin ทำให้เกิดมะเร็งตับ

                            จากเชื้อไวรัส เช่น hepatitis B และ C ทำให้เกิดมะเร็งตับ, Human Papilloma Virus (HPV) ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก

             - พยาธิ เช่น Liver flukes เกิดมะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งตับ, Schistosomes เกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

             - ภาวะขาดอาหาร เช่น โรคตับแข็ง ซึ่งเกิดจากการขาด protein แล้วกลายเป็นมะเร็งตับได้

             - อาหารการกิน เช่น อาหารประเภทปิ้ง ย่าง รมควัน จนไหม้เกรียม อาหารหมักดองบางชนิด  อาหารที่มีสีย้อมผ้าผสม สีที่ทำให้เนื้อแดง เช่น กรดไนตริก เป็นต้น

วีธีการรักษา

 

โรคมะเร็งมีวิธีการรักษาดังนี้

          1. โดยการผ่าตัด

          2. โดยการใช้ยาหรือเคมีบำบัด

          3. โดยการฉายรังสี

          4. การใช้คลื่นความร้อน

          5. การใช้ชีวบำบัด และสารช่วยเสริมภูมิต้านทาน เช่น ทรานสเฟอร์ แฟคเตอร์ เป็นต้น

สำหรับในการต่อสู้กับโรคมะเร็งควรปฏิบัติดังนี้ คือ

          1. ป้องกันโดยไม่ให้มะเร็งเกิด โดยพยายามหลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็งต่าง ๆ รวมทั้งรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง เช่น ผัก ผลไม้ที่มีสีสันแตกต่างกัน มีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยต้านมะเร็ง ออกกำลังกาย สม่ำเสมอให้ร่างกายแข็งแรง อารมณ์ดี รับอากาศดี ขับถ่ายปกติทุกวัน

          2. ป้องกันโดยการตรวจหามะเร็งระยะเริ่มแรก รู้จักดูแลสุขภาพ ตรวจเช็กร่างกายเป็นประจำ รู้จักฝึกตรวจมะเร็งเต้านนมด้วยตนเอง

          3. ถ้าเกิดปัญหาควรรักษาอย่างถูกต้องภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด

Reference:-

 

1. พจนานุกรมโรคและการบำบัด โดย ดร.วิทย์  เที่ยงบูรณะธรรม บ.รวมสาสน์ จำกัด หน้า  295 - 306

2.โรคมะเร็งที่พบบ่อยในคนไทยและมะเร็งในเด็ก โครงการแพทย์เพื่อประชาชน ครั้งที่ 15 วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2544 ณ โรงแรมอโนมา โดย นพ.กิติ จินดาวิจักษ์ และ พญ.วันดีนิงสานนท์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

3. นวัตกรรมใหม่ในการรักษาโรคมะเร็ง จัดโดย ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง วันที่ 29 มิถุนายน 2551 โดย รศ.นพ. นรินทร์ วรวุฒิ หน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

4. สัญญาณเตือนมะเร็ง นพ.สุวิทย์ วิบูลย์ผลประเสริฐ วารสารยาสมาคมร้านขายยาสมัยที่ 8 ปีที่ 16 ฉบับที่ 4 หน้าที่ 38-39

5. มะเร็ง การรักษาและการป้องกัน โดย รศ.พญ. สพัตรา แสงรุจิ แผนกรังสีวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล

Aritcle Credit: Pharmatime

 

ผู้สูงอายุกับเวย์โปรตีน
20 เคล็ดลับ เศรษฐีสอนลูก
ทำตามแล้ว ไม่มีวันจน
5 นาทีของ อีลอน มัสค์ และ บิล เกตส์
5 เคล็ดลับการหุงข้าว
ไม่ให้บูดเร็ว
ผู้ชายรู้ไว้ !!! 12 พฤติกรรมแย่ ๆ
ที่ผู้หญิงเห็นแล้ว...เมินหนี
bottom of page